Server Rack คืออะไร พร้อมเคล็ดลับเลือก Rack ที่ใช่ ไม่ให้เซิร์ฟเวอร์พัง

หน้าหลัก    บทความ    Server Rack คืออะไร ...

Post Image

Server Rack คืออะไร พร้อมเคล็ดลับเลือก Rack ที่ใช่ ไม่ให้เซิร์ฟเวอร์พัง

ตอนนี้เราสามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่าทุกธุรกิจต้องพึ่งพาระบบ IT ทั้งสิ้น (ขนาดร้านตามสั่งยังใช้ QR Code เลย) ทำให้ปัจจุบัน Server ถือเป็นหัวใจหลักขององค์กร แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “การดูแลจัดวาง Server” ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งนั่นคือหน้าที่ของ “Server Rack” บทความนี้จะพาคุณมารู้จักว่าจริง ๆ แล้ว Server Rack คืออะไร, มีกี่ประเภท ขนาดไหนบ้าง และจะเลือกอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด

 

Server Rack คืออะไร?

Server Rack คือโครงเหล็ก หรือตู้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์ระบบไอที เช่น Server, Switch, Router, Patch Panel รวมถึง UPS เพื่อจัดวางให้เป็นระเบียบ ปลอดภัย และสามารถดูแลรักษาได้ง่ายขึ้น โดยจะมีขนาดและรูปแบบที่ได้มาตรฐานสากล โดยหน้าที่หลักของ Server Rack คือ

  • เพิ่มความปลอดภัย และป้องกันความเสียหายจากฝุ่น ความชื้น หรือการชนกระแทก

  • ช่วยจัดระเบียบสาย และอุปกรณ์ ทำให้เดินสายง่าย ลดโอกาสเกิดปัญหา

  • ช่วยระบายความร้อน ทำให้อุปกรณ์ไม่โอเวอร์ฮีตและยืดอายุการใช้งาน

  • ง่ายต่อการดูแล หรือขยายระบบ สามารถติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ได้อย่างมีระบบ

เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าคุณวาง Server บนโต๊ะเหมือนคอมทั่วไป อาจดูสะดวกในตอนแรก แต่พอระบบเริ่มใหญ่ขึ้น สายเริ่มพันกัน อากาศระบายไม่ทัน อุปกรณ์ร้อน พังง่าย เสียหายเร็ว นั่นคือจุดที่ Rack เข้ามาช่วยได้มาก

 

ประเภทของ Server Rack มีอะไรบ้าง

Server Rack มีหลายประเภทให้เลือกใช้ตามลักษณะการใช้งานและสภาพแวดล้อมของแต่ละองค์กร โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ คือ

 

1. Open Rack

Open Rack เป็นโครงโลหะเปล่า ไม่มีฝาปิดรอบด้าน เหมาะสำหรับใช้งานในห้อง Server หรือ Data Center ที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิและฝุ่นละอองอย่างดี จุดเด่นคือระบายความร้อนได้เยี่ยม เพราะไม่มีสิ่งกีดขวางการไหลเวียนของอากาศ อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่ารูปแบบอื่น แต่ข้อจำกัดสำคัญคือ ไม่มีระบบป้องกันฝุ่นหรือความเสียหายจากภายนอก จึงไม่เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง

  • ข้อดี : ระบายลมได้ดี มีราคาถูก

  • ข้อเสีย : ไม่ป้องกันฝุ่น

 

2. Enclosure Rack

Enclosure Rack หรือ “ตู้ Rack แบบปิด” เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยในองค์กรทั่วไป ตัวตู้มีฝาครอบรอบด้าน พร้อมประตูหน้า-หลังและระบบล็อก เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและควบคุมการเข้าถึงอุปกรณ์ภายใน จุดเด่นคือความปลอดภัย เหมาะกับสำนักงานที่ไม่มีห้อง Server โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม รูปแบบนี้มักระบายความร้อนได้ช้ากว่า Open Rack จึงควรเลือกแบบที่มีพัดลมหรือช่องระบายอากาศที่ดีร่วมด้วย

  • ข้อดี : ป้องกันฝุ่นได้ และมีระบบล็อก

  • ข้อเสีย : ระบายอากาศได้ช้ากว่า Open Rack

 

3. Wall Mount Rack

สำหรับออฟฟิศที่มีพื้นที่จำกัด Wall Mount Rack ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยม เพราะสามารถติดตั้งกับผนังได้โดยไม่เปลืองพื้นที่พื้น เหมาะกับการใช้งานเบา เช่นวาง Switch หรือ Router จำนวนไม่มาก จุดเด่นคือความกะทัดรัดและติดตั้งง่าย แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่อง น้ำหนักที่รับได้ไม่มาก และอาจไม่เหมาะสำหรับระบบ Server ที่ต้องใช้อุปกรณ์จำนวนมาก

  • ข้อดี : ประหยัดพื้นที่

  • ข้อเสีย : รับน้ำหนักได้น้อย

 

4. Portable Rack

Portable Rack ถูกออกแบบมาให้สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ด้วยการติดล้อเลื่อน เหมาะกับงานภาคสนาม หรืองานที่ต้องเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ IT บ่อย ๆ เช่น งานจัด Event, Booth หรือพื้นที่ที่ไม่มีห้อง Server ถาวร จุดเด่นคือความคล่องตัวสูง แต่เนื่องจากออกแบบมาให้พกพาได้ จึงอาจไม่แข็งแรงพอสำหรับระบบขนาดใหญ่ หรือใช้งานระยะยาว

  • ข้อดี : สะดวก เคลื่อนย้ายง่าย

  • ข้อเสีย : ไม่เหมาะกับระบบขนาดใหญ่

ถ้าใช้งานในออฟฟิศหรือห้องเล็กๆ ผมแนะนำให้เลือก Enclosure แบบความสูงกลางๆ เพราะจะช่วยทั้งในเรื่องระบายลม ความปลอดภัย และไม่เกะกะเกินไป

 

ขนาดของ Server Rack มีกี่แบบ?

ขนาดของ Rack เราจะวัดเป็นหน่วย “U” (ย่อมาจาก Unit) โดย 1U = 1.75 นิ้ว ใช้วัดความสูงของอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะติดตั้งภายใน Rack อีกที ซึง ขนาด Rack ที่นิยมใช้ก็จะมี

  • 6U – 12U : สำหรับระบบเล็ก เช่นมีแค่ Switch กับ Router

  • 24U – 36U : ระบบกลางที่มี Server, UPS และอุปกรณ์หลายชิ้น

  • 42U – 48U : ใช้ใน Data Center หรือองค์กรที่มีระบบใหญ่

ก่อนเลือกซื้อ Server Rack ควรเริ่มจากการ นับจำนวนหน่วยความสูง (U) ของอุปกรณ์ทั้งหมดที่จะติดตั้ง เช่น Server ขนาด 2U, Switch ขนาด 1U หรือ UPS อีก 2U รวมกันแล้วต้องใช้พื้นที่อย่างน้อย 5U เป็นต้น

แนะนำให้ เผื่อพื้นที่ไว้อย่างน้อย 20–30% สำหรับการขยายระบบในอนาคต เช่น การเพิ่ม Server หรืออุปกรณ์ใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องซื้อ Rack เพิ่มในเวลาอันใกล้

ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสอบความสูงรวมของ Rack ที่จะเลือกให้เหมาะสมกับพื้นที่หน้างานด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องติดตั้งในห้องที่มีเพดานต่ำ หรือพื้นที่จำกัด

ตัวอย่างเช่นถ้ามีอุปกรณ์รวม 10U แนะนำให้เลือก Rack อย่างน้อย 15U เพื่อเผื่อพื้นที่สายไฟ และการขยายในอนาคต

 

ส่วนประกอบของ Server Rack มีอะไรบ้าง

Rack ที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบครบเพื่อการติดตั้งอุปกรณ์อย่างมั่นคง ปลอดภัย และใช้งานได้ง่าย สามารถเก็บข้อมูลข้างล่างนี้ไว้เป็น Checklist กันได้เลย

  1. โครง Rack (Frame) – แกนหลักในการรับน้ำหนัก

  2. รางยึดอุปกรณ์ (Mounting Rails) – มีเลขกำกับ U ชัดเจน

  3. ประตูหน้า/หลัง (Front/Rear Door) – ตาข่ายหรือทึบ ป้องกันฝุ่น

  4. ฝาข้าง (Side Panels) – ถอดออกได้เมื่อต้องการเดินสาย

  5. ระบบระบายอากาศ (Cooling Fan) – บางรุ่นมีพัดลมติดมาด้วย

  6. สายดิน (Grounding) – เพื่อความปลอดภัยจากไฟฟ้าสถิต

  7. PDU (Power Distribution Unit) – ปลั๊กไฟที่กระจายไฟให้หลายอุปกรณ์

  8. ช่องจัดสาย (Cable Management) – ทำให้เดินสายไฟได้สวยและง่ายต่อการตรวจสอบ

บางรุ่นอาจจะมีออปชันพิเศษเพิ่มเติมมาให้ เช่น ระบบล็อกด้วยคีย์การ์ด, พัดลมอัตโนมัติ หรือระบบแจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิสูงเกินกำหนด อยากได้แบบไหนก็สามารถบอกเราได้เลยครับ

 

วิธีการเลือก Server Rack ให้เหมาะกับระบบ

การเลือก Rack ไม่ได้มีแค่ “ขนาดพอไหม” แต่ต้องดูหลายปัจจัยร่วมกันด้วย เช่น

  • จำนวนอุปกรณ์ปัจจุบัน และแผนที่จะเพิ่มในอนาคต

  • ขนาดพื้นที่ห้อง Server เช่น ความสูงเพดาน ความลึกของพื้นที่

  • ระบบระบายอากาศในห้องดี หรือไม่ หากไม่ดีก็ควรใช้ Rack ที่มีพัดลมในตัว

  • งบประมาณ ซึ่ง Rack ก็มีตั้งแต่ไม่กี่พันจนถึงหลายหมื่น ขึ้นอยู่กับฟีเจอร์

 

ถ้าคุณมีงบประมาณจำกัด เลือก Rack ที่รองรับอุปกรณ์ได้เกินจากความต้องการปัจจุบันเล็กน้อย และอัปเกรดระบบระบายลมเพิ่มเติมในภายหลัง จะช่วยประหยัดในระยะยาว

หากคุณยังไม่แน่ใจว่า Rack แบบไหนเหมาะกับคุณ โทร : 02-430-2422

เรายินดีให้คำปรึกษา พร้อมช่วยออกแบบระบบ Rack ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด

INFORMATIONS

BLOGGER

karun.s

CREATE DATE

28/06/2025

CATEGORY

บทความทั่วไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ นโยบายและการใช้งานคุกกี้ ยอมรับ